นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดถึงมาตรการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2563 หลังมีประชาชนหลายรายกังวลใจว่า อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าวว่า
มาตรการนี้ ไม่ได้สร้างภาระภาษีให้กับผู้เสียภาษีมากไปกว่าที่เสียภาษีในกฎหมายเดิม โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย ซึ่งบ้านหลังแรกที่มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี
โดยจากข้อมูลพบว่าประชาชนที่มีบ้านหลังแรก 99.96% เป็นเจ้าของบ้านที่ราคาไม่ถึง 50 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 0.04% หรือ ประมาณ 1 หมื่นคน มีบ้านหลังแรกเกิน 50 ล้านบาท ซึ่งก็จะเสียภาษีในส่วนที่ราคาเกิน 50 ล้านบาทเท่านั้น
สำหรับผู้ที่มีบ้านตั้งแต่หลังที่ 2 ขึ้นไป จะต้องเสียภาษีล้านละ 200 บาท ตั้งแต่บาทแรก หากนำไปทำบ้านให้เช่าจะต้องเสียภาษีแบบอื่น ๆ หรือในอัตราล้านละ 3,000 บาท ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะเป็นผู้ตรวจสอบ
ขณะที่ที่ดินเพื่อการเกษตร ในส่วนที่เป็นบุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษี 3 ปีแรก หลังจากปีที่ 3 เป็นต้นไปจะได้รับการยกเว้นในส่วนของมูลค่าที่เกิน 50 ล้านบาทแรก ซึ่งเสียภาษีในอัตราที่ต่ำ
นอกจากนี้ที่ดินเพื่อการเกษตร จะต้องมีการปลูกต้นไม้ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด ทั้งชนิดต้นไม้และปริมาณการปลูก เช่น การปลูกกล้วยต้องไม่ต่ำกว่า 200 ต้น ใน 1 ไร่
ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดรายละเอียดเผยแพร่ให้เจ้าของที่ดินทราบรายละเอียดในไม่ช้านี้
ขณะที่ดินว่างเปล่าของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้รับการบรรเทาภาระภาษีใน 3 ปีแรก โดยได้เว้นภาษี 90% ของราคาประเมิน เป็นเวลา 3 ปี หรือ เก็บเพียง 10% เท่านั้น หลังจากนั้นหากยังไม่พัฒนาเป็นโครงการได้ก็ต้องเสียภาษีที่ดินว่างเปล่าเต็มอัตรา
“การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้สร้างภารให้ผู้เสียภาษีมากไปกว่าเดิม จากกฎหมายเดิมโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามกฎหมายเดิมประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และกฎหมายใหม่คาดว่าจะเก็บได้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท” นายลวรณ กล่าว