วันที่ 31 มกราคม 2563 หลังจากกระทรวงสาธารณสุข แถลงคืบหน้าสถานการณ์ของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ในไทยเพิ่ม 5 รายวันนี้
ล่าสุดพบว่า 1 ใน 5 รายเป็นหญิงชาวจีนเข้ารับการรักษาอาการที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ทำให้เมื่อ 18.00 น. ที่ผ่านมาทางโรงพยาบาลได้แถลงการณ์ เพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกโดยชี้แจงว่า ผู้ป่วยอายุ 28 ปีชาวจีนเดินทางจากเมืองจิ่งโจว มายังประเทศไทย โดยการโดยสารรถไฟไปอู่ฮั่น และขึ้นเครื่องบินออกจากอู่ฮั่นไปคุนหมิง ในวันที่ 14 มกราคม 2563 จากนั้นวันที่ 15 มกราคม 2563 ออกเดินทางจากคุนหมิง มาเชียงใหม่
ในวันที่ 18 มกราคม มีน้ำมูกและไอเล็กน้อย ผู้ป่วยได้มาเข้าตรวจรับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ในวันที่ 21 มกราคม ด้วยอาการไข้ เนื่องจากมีความตระหนักถึงภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาด ผู้ป่วยจึงได้รับการแยกตัวอยู่ในห้องแยกความดันอากาศเป็นลบ สำหรับผู้ติดเชื้อทางเดินหายใจ และได้ทำการสอบสวนโรคตามมาตรฐานคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข
ผลการตรวจตัวอย่างจากช่องคอและจมูก ไม่พบเชื้อการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จากห้องปฏิบัติการทั้งสองแห่งคือ ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และ รพ.จุฬาลงกรณ์ และเพื่อตอบสนองต่อแผนกการรองรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง ที่มีจำนวนมากในเขตจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ทำการย้ายผู้ป่วยมาอยู่หอผู้ป่วยสามัญ ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขในวันที่ 22 มกราคม ขณะนั้นภาพรังสีทรวงอกเป็นปกติ
ต่อมาในวันที่ 25 มกราคม ผู้ป่วยยังคงมีไข้ คณะแพทย์ผู้ทำการรักษาจึงได้มีการตรวจหาเชื้อ nCoV ซ้ำอีกครั้ง แต่ผลการตรวจตัวอย่างจากช่องจมูกและคอยังคง ไม่พบเชื้อการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จากห้องปฏิบัติการทั้ง 2 แห่ง
คณะแพทย์ผู้ทำการรักษา ผู้ป่วยมีความตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากร จึงทำการติดตามรักษาผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ พบว่า ในวันที่ 27มกราคม ผู้ป่วยยังคงมีอาการไข้ คณะแพทย์จึงได้ทำการตรวจภาพรังสีทรวงอกอีกครั้ง เมื่อพบว่า มีปอดอักเสบ จึงได้มีคำสั่งย้ายผู้ป่วยไปรับการรักษาในห้องแยกความดันอากาศเป็นลบทันที และเพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำ จึงได้รับการส่องกล้องทางหลอดลม เพื่อนำน้ำจากปอดไปสอบสวนโรคเพิ่มดังที่ได้แจ้งให้ทราบในเบื้องต้น
ขณะนี้ ผู้ป่วยได้นอนรักษาอยู่ในห้องแยกความดันอากาศเป็นลบสำหรับผู้ติดเชื้อทางเดินหายใจ ไข้ลดลง แต่ยังมีอาการเพลียอยู่บ้าง
นอกจากนี้ ทางโรงพยาบาล ยังได้เฝ้าติดตามบุคลากรที่ดูแลผู้ป่วยรายดังกล่าว สำหรับบุคลากรที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสัมผัส ได้ให้หยุดปฏิบัติงานและสังเกตอาการในห้องแยกที่จัดไว้ เป็นเวลา 14 วัน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ติดเชื้อก่อนจะกลับมาปฏิบัติงานได้อีกครั้ง ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังไม่มีผู้ป่วย และบุคลากรในโรงพยาบาลที่มีอาการผิดปกติ หรือพบว่า ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว
สำหรับผู้ใช้บริการ และบุคลากรอื่น ๆ ทางโรงพยาบาลมีมาตรการป้องกัน คัดกรอง และเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อมาโดยตลอด โดยกำหนดให้มีทางเข้า-ออกที่ต้องผ่านเครื่อง Thermoscan หรือจุดคัดกรองก่อนจะเข้าตัวอาคาร นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัย และทำความสะอาดมือที่ถูกวิธี เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค
ทางโรงพยาบาลขอขอบคุณทีมผู้รักษาพยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่ได้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยครั้งนี้
โรงพยาบาลยังเปิดทำการตามปกติ และขอพี่น้องประชาชน รวมถึงบุคลากรให้ความเชื่อมั่น ว่าจะได้รับดูแลอย่างมีมาตรฐาน สมกับเป็นโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ชั้นนำที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนภาคเหนือมาอย่างยาวนานตลอดระยะเวลา 60 ปี