การที่พบโรคภูมิแพ้ของระบบการหายใจเพิ่มขึ้นเนื่องจากวิถีชีวิต และสภาวะอากาศรอบตัวเราเปลี่ยนแปลงไป เป็นปัจจัยทําให้อุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้ในปัจจุบันเพิ่มมากขึ้น เมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอมอาการแพ้จะเกิดขึ้น โดยสารก่อภูมิแพ้จะกระตุ้นให้เซลล์หลั่งสารฮีสตามีน (histamines) ออกมา
ซึ่งฮีสตามีนเป็นสารที่มีอยู่ในเซลล์ทั่ว ร่างกาย ทั้งระบบประสาท ทางเดินอาหาร และระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อฮีสตามีนถูกหลั่งออกมาจะทําให้เกิดอาการคัน ผื่น แดงที่ผิวหนัง อาจมีหลอดลมตีบ หายใจลําบาก ที่ทางเดินหายใจ และถ้าไปออกฤทธิ์ที่ทางเดินอาหารจะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
ยาแก้แพ้ หรือ ยาต้านฮีสตามีน (antihistamines)
มีสรรพคุณบรรเทาอาการน้ำมูกไหล อาการจามเนื่องจากหวัด บรรเทาอาการคันจากสาเหตุต่าง ๆ ลดสารคัดหลั่ง และบรรเทาอาการคัน โดยออกฤทธิ์ยาแก้แพ้ยับยั้งผลของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งมีผลทําให้การหลั่งน้ำมูก และอาการแพ้ อาการคันลดลง
ยาแก้แพ้แบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ยากลุ่มแรก คือ ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มดั้งเดิม หรือ ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มที่ทําให้ง่วงซึม
เป็นยาต้านฮีสตามีนรุ่นแรก ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น คลอเฟนิรามีน (chlorpheniramine) ยาเม็ดเล็ก ๆ สีเหลือง เป็นยาแก้แพ้ ที่มีฤทธิ์ลดน้ำมูกไหลได้อย่างดี และราคาไม่แพง
ไตเมนไฮดรีเนต (dimenhydrinate) ไฮดรอไซซีน (hydroxyzine) ทริโปรลิคืน (triprolidine) บรอมเฟนิรามีน (brompheniramine) คีโตติเฟน (ketotifen) และ ออกซาโทไมด์ (oxatomide) ยาในกลุ่มนี้ สามารถใช้รักษาอาการเยื่อจมูกอักเสบเนื่องจากภูมิแพ้ ที่มีอาการคัน จาม น้ำมูกไหลนอกจากนี้ยังสามารถบรรเทา อาการเมารถ เมาเรือได้
ข้อควรระวัง! ในการใช้ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มดั้งเดิม
ยากลุ่มที่สอง คือ ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มที่ไม่ทําให้ง่วงนอน (non-edating antihistamines)
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ เช่นเดียวกับยาต้านฮีสตามีนกลุ่มดั้งเดิม แต่ยาในกลุ่มนี้ผ่านเข้าสมองได้น้อยมากจึงทําให้ง่วงซึมน้อยกว่า ตัวอย่าง เช่น ลอราทาดีน (loratadine) เซทิริซีน (cetirizine) เฟโซเฟนาดีน (fexofenadine) เลโวเซทิริซีน (levocetirizine), เดสลอราทาดีน (desloratadine)
ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มนี้สามารถใช้รักษาอาการเยื่อจมูกอักเสบเนื่องจากภูมิแพ้ เยื่อตาขาว อักเสบเนื่องจากภูมิแพ้ที่เป็นตามฤดูกาล ลดอาการจาม คันจมูก คันตา ตื่น อาการบวมแดงที่เยื่อบุ และผิวหนัง ผื่นลมพิษ
อาการง่วงซึม จมูกแห้ง ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่า จะพบน้อยกว่ากลุ่มแรกที่เป็นกลุ่มดั้งเดิม
ข้อควรระวัง! ในการใช้ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มที่ไม่ทําให้ง่วงนอน
ยาแก้แพ้ เป็นการรักษาตามอาการมากกว่าการแก้สาเหตุ ดังนั้นหากรู้สาเหตุของสิ่งที่แพ้ และหลีกเลี่ยง การบําบัดตามอาการที่เกิดให้ลดลงได้ โดยการเลือกใช้ยาแก้แพ้อย่างถูกต้อง เพราะการใช้ยาทุกชนิด จะมีผลข้างเคียงของยา
โดยผลข้างเคียงของยาแก้แพ้กลุ่มตั้งเดิม คือ ฤทธิ์กดประสาททําให้ง่วงซึม จึงเป็นอันตรายถ้าได้รับยานี้ขณะขับรถ หรือ ควบคุมเครื่องจักร เพราะความแม่นยําของประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายลดลง ทําให้มีอาการหลับใน อาจทําให้เสมหะเหนียว จึงไม่ควรใช้ในคนที่เป็นหืด หรือไอมีเสลด ไม่ควรใช้แก้อาการเป็นหวัดในเด็กอายุต่ํากว่า 2 สัปดาห์ เพราะอาจทําให้เสลดเหนียวขับออกยาก
ดังนั้นการบรรเทาอาการแพ้ที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ หมั่นออกกําลังกาย เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และใช้ยาในปริมาณที่เหมาะสมเท่าที่จําเป็น โดยปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรเมื่อต้องการใช้ยา เพื่อที่จะเลือกยาที่มีผลข้างเคียงน้อย
ยาแก้แพ้ หรือ ยาต้านฮีสตามีน เป็นยาที่หาซื้อได้ง่าย ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ทราบความแตกต่างของยาแก้แพ้ จึงมักเลือกยาแก้แพ้ชนิดที่ไม่ง่วงนอน ในการบรรเทาอาการอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหล จากข้อมูลข้างต้น ยาแก้แพ้ทั้งสองกลุ่มใช้บรรเทาอาการแพ้ที่เกิดจากการหลั่งฮีสตามีนได้คล้ายกัน
อาการที่เกิดจากการหลั่งฮีสตามีน เช่น อาการจาม คันจมูก คันตา ตื่น อาการบวมแดงที่เยื่อบุ และ ผิวหนัง ส่วนอาการง่วงซึม จมูกแห้ง ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่า จะพบในยาต้านฮีสตามีนกลุ่มแรกที่ทําให้ง่วงซึม ได้ มากกว่ากลุ่มที่สองที่ไม่ทําให้ง่วงซึม และยาแก้แพ้แต่ละกลุ่มมีข้อควรระวัง และข้อห้ามใช้แตกต่างกัน เพื่อความปลอดภัยจึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง
อย่างไรก็ตามวิธีการรักษาอาการแพ้ที่ดีที่สุด คือ สังเกตว่าอาการแพ้ เกิดขึ้นเมื่อสัมผัส หรือรับประทานสิ่งใด เมื่อทราบแล้วควรกําจัดหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้นั้น