อดัม เฮอร์เจนเรเดอร์ วัยรุ่นอเมริกันวัย 18 ปี ซึ่งสูบบุหรี่ไฟฟ้า บอกระหว่างเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลว่า แม้ว่าเขาจะมีอายุได้ 18 ปี แต่ปอดของเขามีสภาพเหมือนคนอายุถึง 70 ปีเข้าไปแล้ว
อดัมเป็นหนึ่งในวัยรุ่นอเมริกันหลายคนที่หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีแบรนด์บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่งที่ออกมาโฆษณาว่าการสูบบุหรี่ชนิดนี้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการสูบบุหรี่ทั่วไป โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังสูดไอระเหยที่มีสารเคมีอะไรเข้าไปบ้าง
นพ. โรเบิร์ต แกลตเทอร์ แพทย์ในห้องฉุกเฉิน บอกว่า ทุกครั้งที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ผู้สูบจะสูดละอองของเหลวเข้าไป ซึ่งไม่ใช่ไอน้ำอย่างที่คิดกัน แต่เป็นสารเคมีอัลดีไฮด์และแอลกอฮอล์ชนิดพิเศษที่ก่อตัวขึ้นระหว่างกระบวนการทำให้สารเคมีในบุหรี่ไฟฟ้าร้อนจนกลายเป็นละอองควัน
ยิ่งไปกว่านั้น ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจสอบสารเคมีที่เป็นส่วนผสมในบุหรี่ไฟฟ้า 150 ชนิด พบว่า สารละลายที่ใช้สำหรับบุหรี่ไฟฟ้าประกอบด้วยสารเคมีราว 200 ชนิดด้วยกัน ซึ่งได้รับการอนุมัติโดยหน่วยงานของรัฐเพื่อการบริโภค แต่ไม่ใช่สำหรับการสูบหรือสูดไอระเหยแต่อย่างใด
การศึกษาชิ้นใหม่จากคณะแพทย์ศาสตร์ ของมหาวิทยาลัย University of North Carolina พบว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าทำให้ปอดเกิดการเปลี่ยนแปลงเหมือนกับผู้ที่ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพองจากการสูบบุหรี่ทั่วไป
อาจารย์โรเบิร์ต ทาร์แรน หัวหน้าทีมวิจัยล่าสุดนี้ บอกว่า ได้พบโปรตีนที่เรียกว่า โพรทีเอส (protease) ในปอดของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าบางราย ซึ่งหากมีมากขึ้นก็จะเข้าทำลายปอดให้เสียหายได้ ซึ่งในการศึกษานี้พบว่า ปริมาณโพรทีเอส ของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า อยู่ในระดับที่เท่ากับผู้สูบบุหรี่ทั่วไปด้วย
อาจารย์ทาร์แรน ยังบอกด้วยว่า สารนิโคตินที่พบในบุหรี่ไฟฟ้า มีส่วนเชื่อมโยงกับระดับ protease ที่เพิ่มขึ้นในปอดของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าด้วย
แม้ในการศึกษานี้ จะชี้ว่ายังเร็วเกินไปที่จะบ่งชี้ผลกระทบในระยะยาวสำหรับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า แต่สำหรับวัยรุ่นที่ปอดยังเติบโตไม่เต็มที่ ถือว่าเป็นช่วงวัยที่เสี่ยงกว่าวัยผู้ใหญ่ในการสูบบุหรี่ไฟฟ้า
ปัจจุบัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC ออกมาเตือนให้ “พิจารณา” ที่จะไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนสมาคมการแพทย์อเมริกัน ออกคำเตือนประชาชนให้ “หลีกเลี่ยง” การใช้บุหรี่ไฟฟ้า เช่นเดียวกับสมาคมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในระดับมลรัฐ ออกมาเรียกร้องให้มีมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของวัยรุ่น จากตัวเลขของผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยด้วยโรคปอด ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ