นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) กล่าวถึงสถานการณ์ราคาสินค้าทางการเกษตร ว่า คาดว่าสถานการณ์ในปี 2563 ภัยแล้งจะรุนแรงมากขึ้น จนกระทบต่อปริมาณผลผลิตที่จะออกมาสู่ท้องตลาด
โดยในภาพรวมสินค้าเกษตรจะมีราคาสูงขึ้น เพราะปริมาณผลผลิตลดลง เช่น ข้าว เนื้อสุกร และผักที่ต้องใช้น้ำในการเพาะปลูกมาก ซึ่งในส่วนของข้าวเปลือกนาปรังปีนี้จะลดลงจาก 8 ล้านตัน เหลือเพียง 3.5-4 ล้านตัน หรือลดลงกว่า 50%
ตามการประเมินของกรมการข้าว จนทำให้คาดว่าราคาข้าวเปลือกเจ้าจะอยู่ที่ตันละ 9,000-10,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 14,000-15,000 บาท
ขณะเดียวกันจากสภาพอากาศร้อนจัด ส่งผลให้หมูโตช้าและมีการส่งออกจำนวนมาก เนื่องจากราคาต่างประเทศสูงกว่าราคาในประเทศ โดยกรมจะจับตาเป็นพิเศษ ให้ราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสม หน้าฟาร์มกิโลกรัมละ 75-80 บาท และราคาหน้าเขียงอยู่ที่ 150-160 บาท หากสูงเกินจะหารือกับสมาคม เพื่อจำกัดปริมาณการส่งออก เพื่อช่วยให้ราคาเนื้อหมูในประเทศไม่สูงจนเกินไป
ส่วนผักสดที่ใช้น้ำมากอาจได้รับผลกระทบ ปริมาณผลผลิตลดลง จะหารือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้มีการปลูกผักอายุสั้นทดแทน รวมถึงมะนาว คาดว่าปริมาณจะลดลงแต่ไม่ถึงขั้นขาดแคลน โดยช่วงนี้ผู้ประกอบการร้านอาหารมีการปรับตัว โดยการซื้อมะนาวล่วงหน้าแช่แข็งไว้รอใช้งานในช่วงที่มะนาวมีราคาสูง
นอกจากนี้ น้ำมันปาล์มขวด มีแนวโน้มราคาปรับสูงขึ้น จากการที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปีที่ผ่านมา ทำให้มีการเร่งรัดตัดผลปาล์มสุกเร็วขึ้น รวมทั้งการเข้มงวดปราบปรามน้ำมันปาล์มเถื่อนทำให้ราคาผลปาล์มสดเพิ่มจาก ราคา 2.50-3 บาทต่อก.ก. เป็น 6-7 บาทต่อก.ก.
ซึ่งจะทำให้ปาล์มขวด 1 ลิตร ราคาเพิ่มจาก 38 บาทเป็น 42-43 บาทต่อขวด 1 ลิตร ซึ่งได้ขอความร่วมมือห้างให้ช่วยดูแล และให้ขายตามปกติ และผู้ซื้อไม่ต้องไปกักตุนเพราะมีสต๊อกกว่า 3 แสนตัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ราคาสินค้าเกษตรมีราคาสูงขึ้นก็ขอให้มองอีกมุมว่าเป็นช่วงที่เกษตรกรจะพอลืมตาอ้าปากได้บ้าง เพราะในบางช่วงเกษตรกรก็ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ หรือจากผลผลิตล้นตลาดจนทำให้ราคาตกต่ำ
ทั้งนี้ กรมฯ จะดูแลราคาสินค้าให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เช่น การดูแลลดค่าครองชีพผ่านร้านธงฟ้าและการจัดงานธงฟ้ากระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศช่วยเหลือประชาชน
ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ จากเหตุตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับอิหร่านนั้น เชื่อว่าจะเป็นผลเพียงชั่วคราวและราคาน้ำมันตลาดโลกได้มีการปรับตัวลดลงแล้ว เพราะเชื่อจะไม่เกิดผลบานปลายกลายเป็นสงคราม ทางผู้ประกอบการจะใช้เหตุผลของราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นไม่ได้