โรคหัวใจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของโลก และคอเลสเตอรอลในระดับที่สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคนี้ โดยที่ผ่านมา แพทย์ให้การรักษาผู้ป่วยโดยดูที่ระดับคอเลสเตอรอลตัวร้าย หรือที่เรียกว่า LDL
ในปีพ.ศ. 2556 แนวทางปฏิบัติใหม่ในสหรัฐฯ แนะให้แพทย์ตรวจสอบความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจโดยรวม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง แนวทางปฏิบัตินี้แนะนำให้แพทย์พิจารณาอายุ ความดันโลหิต อาการของโรคเบาหวาน และปัจจัยอื่น ๆ ของผู้ป่วย
แนวคิดของแนวทางปฏิบัตินี้ก็คือ ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงสุดจะได้รับประโยชน์สูงที่สุดจากยาลดคอเลสเตอรอล “สเตติน”
นักวิจัยได้ศึกษาข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ข้อมูลดังกล่าวนี้มีผลการวัดระดับคอเลสเตอรอลจากผู้ใหญ่มากกว่า 32,000 คน ในช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2548 ถึงพ.ศ. 2559
ในกลุ่มคนที่ทานยาสเตติน ระดับคอเลสเตอรอลตัวร้ายโดยเฉลี่ยลดลง 21 จุดตลอดระยะเวลาที่ทำการศึกษา นอกจากนี้ระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมและไขมันชนิดอื่น ๆ ในเลือดก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน
นายแพทย์ Michael Miller เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษานี้ กล่าวว่า ผลลัพธ์ดังกล่าวนั้นดีมากจนน่าประหลาดใจ โดยรวมกันแล้วคาดว่าความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและอาการเส้นเลือดอุดตันในสมองจะลดลง 15% ถึง 20%
นอกจากนี้อัตราการใช้ยา “สเตติน” ของผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานยังมีเพิ่มมากขึ้น
นายแพทย์ Neil J. Stone จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น ซึ่งเป็นหัวหน้าในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติปี พ.ศ. 2556 จากสมาคม American College of Cardiology และ American Heart Association กล่าวว่า การป้องกันไม่ให้ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานมีอาการหัวใจวายเป็นครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
นายแพทย์ Pankaj Arora จากมหาวิทยาลัยรัฐแอละบามา วิทยาเขตเบอร์มิงแฮม หัวหน้าการศึกษาวิจัยนี้ กล่าวว่า ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว
ด้านนายแพทย์ Arora จากมหาวิทยาลัยแอละบามา เตือนว่า ยังไม่พบว่ามีการรักษาเพิ่มขึ้นในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกลุ่มอื่น ๆ และว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบว่าตัวเองมีปัญหาในเรื่องระดับคอเลสเตอรอล ซึ่งคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยเหล่านี้ก็คือ ควรไปตรวจวัดระดับคอเลสเตอรอลหากยังไม่ได้ตรวจวัดในระยะนี้