ดร. เดวิด คาร์ริงตัน จากมหาวิทยาลัย Univercity of London ให้ข้อมูลกับ BBC News ว่า “หน้ากากอนามัยที่คนทั่วไปใช้สวมกัน ไม่ได้มีความสามารถในการป้องกันเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียที่อยู่ในอากาศ” ซึ่งเป็นที่ที่ไวรัสสามารถแพร่กระจายติดต่อกันเป็นทอด ๆ ได้ นั่นเป็นเพราะหน้ากากอนามัยทั่วไปเมื่อสวมเข้ากับใบหน้าแล้ว “หลวม” เกินไป ไม่มีชั้นกรองอากาศ และไม่ได้ปิดบังดวงตา ซึ่งก็ยังเป็นส่วนที่ติดเชื้อไวรัสได้เช่นกัน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หน้ากากอนามัยไม่มีประโยชน์ เรายังคงแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เพราะหน้ากากอนามัยยังคงช่วยลดการติดต่อของเชื้อไวรัสที่มาจากละอองน้ำลายจากการไอ จาม ซึ่งสามารถติดต่อและส่งผ่านเชื้อไวรัสจากมือสู่ปากได้
จากรายการการศึกษาของมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์ พบว่า คนมักเผลอใช้มือจับใบหน้าตัวเองเฉลี่ยแล้ว 23 ครั้งต่อชั่วโมง
เมื่ออยู่ในโรงพยาบาล การที่บุคลากรต่าง ๆ สวมหน้ากากอนามัย จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสจากการไอ และจามของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ได้
วิธีป้องกันเชื้อไวรัสที่ดีกว่าการสวม “หน้ากากอนามัย”
อย่างไรก็ตาม วิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสจากคนสู่คนได้มากที่สุด ไม่ใช่การสวมหน้ากากอนามัย แต่เป็นการ “ป้องกัน” ตั้งแต่ต้น