ข่าวสาร/สาระน่ารู้

News&Knowledge

New Normal ที่เราได้เรียนรู้หลังวิกฤติไวรัส COVID-19 เมื่อคำว่า สุขภาพดี กำลังเป็นที่ต้องการ

2,116 view(s)
25/05/2020
รายละเอียด

การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้โลกทั้งใบต้องหยุดชะงักและตื่นตัวกับเรื่องสุขภาพครั้งใหญ่ แรงกระเพื่อมครั้งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ กับโลกทั้งใบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะรูปแบบการดำเนินชีวิตของเราที่ปรับเปลี่ยนไป โดยสังเกตจากรอบตัว เราเริ่มเห็นผู้คนจำนวนไม่น้อยหันมาสนใจรักษาสุขภาพ และเริ่มใส่ใจกับปัญหาสุขภาพของตัวเองมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ต้นปีที่เป็นต้นมา สังคมไทยได้เรียนรู้อะไรจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้บ้าง วันนี้เรามาทบทวนบทเรียนครั้งสำคัญนี้ และออกสำรวจแนวทางการใช้ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อเรายังต้องอยู่และใช้ชีวิตไปกับ COVID-19 จนกว่าจะมีค้นพบยาหรือวัคซีนป้องกันสำเร็จ

เราเรียนรู้อะไรจาก COVID-19 

1. เราให้ความสำคัญกับสุขอนามัยมากขึ้น

การมาถึงของไวรัส COVID-19 รวมถึงวิกฤติฝุ่น PM2.5 ก่อนหน้านี้ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเรา คือ เชื้อปะทุชั้นดีที่กระตุ้นให้เราตื่นตัวกับเรื่องสุขอนามัย เราเรียนรู้และปรับพฤติกรรมเพื่อสู้กับเชื้อโรคมากกว่าที่ผ่านมา เราหันมาใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้านหรืออยู่ในที่ชุมชน รวมทั้งเราล้างมือกันบ่อยขึ้น
หลายคนพกเจลแอลกอฮอลล์ติดตัวเสมอ ระมัดระวังการจับ สัมผัสสิ่งต่างๆ เมื่ออยู่ในที่สาธารณะกันอย่างจริงจัง ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทำให้เราได้เห็นว่าคนไทยมีสุขอนามัยส่วนบุคคลดีขึ้นผิดหูผิดตา

2. เราคำนึงถึงการเว้นระยะห่างทางกายภาพ (Physical Distancing) มากขึ้น

เราพบว่าโรคติดต่อจำนวนไม่น้อย รวมถึงไวรัส COVID-19 ติดต่อถึงกันผ่านการจับมือ สัมผัส ถูกเนื้อต้องตัวกัน หรือแม้แต่การยืนพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด ที่อาจมีละอองน้ำลาย หรือสารคัดหลั่งกระเด็นออกมาโดนร่างกายของเราได้ และนำมือนั้นไปเช็ด ขยี้ ลูบดวงตา จมูกหรือปาก หากละอองน้ำลายหรือสารคัดหลั่งมีเชื้อโรคปะปนอยู่ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย

 

เมื่อได้รับรู้ถึงช่องทางหรือความเสี่ยงที่จะรับเชื้อ ทำให้เราเริ่มหาทางป้องกันการรับเชื้อด้วยตัวเอง เช่น เราจะเริ่มขยับตัวถอยห่าง เมื่อรู้สึกว่ามีคนเข้าใกล้ตัวเรา หรือหากมีใครสักคนในบริเวณนั้น ไอ จาม เราจะระมัดระวังตัวมากขึ้น รวมไปถึงมาตรการป้องกันตัวเองที่ภาครัฐออกมา อย่างเช่น การเว้นระยะห่างทางกายภาพกับบุคคลอื่น (Physical distancing) มีการงดเว้นสัมผัสใกล้ชิดกัน การจัดที่นั่งในที่ทำงานที่มีระยะห่างระหว่างพนักงาน การลดจำนวนคนโดยสารลิฟต์ ฯลฯ

3. เราต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น

การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้างของไวรัส COVID-19 ทำให้หลายคนเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัยหากต้องออกมาอยู่ในที่สาธารณะ หรือคนพลุกพล่าน ทำให้มองหาพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น

การทำ Physical Distancing หรือการงดเว้นการร่วมกลุ่ม รวมตัวกัน การรณรงค์อยู่บ้านเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อ จึงกลายเป็นกฎข้อบังคับสำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส ถึงแม้ว่ามาตรการนี้ก็จำกัดการทำกิจกรรมหลายๆ อย่างในชีวิตประจำวันไป โดยเฉพาะกิจกรรมกลางแจ้งที่ช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว

แต่ในขณะที่เราถูกจำกัดการทำกิจกรรมบางอย่าง เราก็ได้รับสิทธิ์ให้ทำบางอย่างมากขึ้นนั้นคือ การได้พื้นที่ส่วนตัวกลับคืนมา ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวที่บ้านมากขึ้น ได้เวลาส่วนตัวคืนมามากขึ้น

4. เราตระหนักได้ว่าการมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงเป็นสิ่งจำเป็น

ภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราเปรียบเหมือนกองกำลังที่คอยปกป้อง ดูแล คุ้มครองร่างกายไม่ให้เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามารุกรานได้ กองกำลังของเราจะจัดการเชื้อโรคได้นั้น ต้องทำให้กองกำลังของเราแข็งแรงเสียก่อน

แต่เมื่อ lifestyle ของคนเราก่อนหน้านี้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสภาพความเป็นอยู่ การทำงานที่เคร่งเครียด เร่งรีบ พฤติกรรมการกินอาหารที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้กองกำลังภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอ กลายเป็นป่วยบ่อย ติดเชื้อง่าย หรือขาดประสิทธิภาพในการปกป้องเราจากเชื้อโรค

การมาของไวรัสโควิด-19 จึงเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญ ที่ส่งผลให้เราหันมาตระหนัก ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง รวมทั้งมองหาวิธีการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากไวรัสกันอย่างจริงจัง แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเราใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรงกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับทุกๆ สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต

หากเรายังคงรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลเช่นนี้ไปได้จนกลายเป็นนิสัย ความเสี่ยงที่เราจะติดเชื้อหรือป่วยบ่อยก็จะลดลง เพราะสุขอนามัย คือ พื้นฐานของการมีสุขภาพดี ที่สำคัญยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย

อยู่อย่างไรให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง สุขภาพดี

จนถึงเวลานี้ก็ต้องยอมรับความจริงว่าการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังคงเกิดขึ้นอยู่ และตราบใดที่ยังไม่มียาหรือวัคซีนป้องกันโรคนี้ได้ การใช้ชีวิตอย่างแข็งแรง สุขภาพดี ท่ามกลางการระบาดของโรคในเวลานี้ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการยอมรับ เข้าใจ และปรับตัวให้สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง ดังนั้นเราควรเตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงที่จะป่วยบ่อย หรือติดเชื้อง่าย คงระดับความเข้มแข็งของระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพ ด้วยแนวทางการใช้ชีวิตให้ปลอดภัยจากโรคภัยต่างๆ ได้ดังนี้

1. กินให้ได้คุณภาพ

ถึงเราจะได้รับการบอกต่อๆ กันว่าให้ถ้าอยากสุขภาพดีต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่น้อยครั้งที่จะบอกกันว่า กินให้ครบ 5 หมู่ ต้องกินอย่างไร หลักการกินให้ครบ 5 หมู่แบบง่ายๆ มีคอนเซปต์อยู่ว่า กินให้หลากหลายกินทุกหมู่ กินข้าวได้สลับกับกินแป้ง กินผักผลไม้ให้เป็นนิสัย เนื้อสัตว์เน้นที่เนื้อปลา หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และเลี่ยงอาหารหวานจัด เค็มจัด

แล้วเสริมด้วยอาหารที่ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งโดยมากจะอยู่ในผักผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี อาทิ ผักใบเขียวจัดหรือสีเหลืองส้ม เห็ดต่างๆ และแร่ธาตุซิลีเนียม หรือสังกะสี ที่พบในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล นม หรือถั่ว เป็นต้น

2. นอนให้มีคุณภาพดี

การนอนที่มีคุณภาพจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่มีการพักผ่อนไหนจะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ดีเท่าการนอนหลับ เพราะการนอนหลับนั้นจะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

นอกจากนี้ การนอนหลับพักผ่อนยังช่วยลดระดับความเครียด ซึ่งมีส่วนสำคัญในการลดประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย ซึ่งรวมไปถึงระบบภูมิคุ้มกัน คนที่พักผ่อนไม่เพียงพอเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย และยังมีโอกาสรับสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกายได้มากกว่าคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ซึ่งรวมไปถึงไวรัสที่ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยอีกด้วย

3. หากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด

เมื่อร่างกายสะสมเอาความเครียดไว้ เจ้าความเครียดนี่แหละ ที่เป็นตัวการร้ายคอยกัดกินให้ระบบต่างๆ ในร่างกายเรารวน และยังเป็นบ่อเกิดโรคร้ายที่นึกไม่ถึงได้ด้วย ในเมื่อเรามีเวลาอยู่กับบ้านมากขึ้นแล้ว ลองหากิจกรรม งานอดิเรกหรือการฝึกทักษะต่างๆ ระหว่างที่หยุดเชื้ออยู่บ้าน นอกจากช่วยลดความเครียดได้แล้ว ยังอาจจะเป็นการค้นพบทักษะใหม่ๆ ในตัวเองที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ยังเป็นโอกาสหรือช่องทางสร้างรายได้ใหม่ได้ด้วย

4. เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

หัวใจสำคัญของการมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง เริ่มต้นจากร่างกายที่มีสุขภาพดี และตัวช่วยสำคัญ ก็คือ สารอาหาร แร่ธาตุ วิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินซีที่มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ปกติแล้วร่างกายของเราควรได้รับวิตามินซี วันละ 500 – 1,000 มิลลิกรัม ผ่านการกินผักผลไม้เป็นประจำและต่อเนื่อง

 

แต่เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่สลายตัวได้ง่าย ไม่สะสมในร่างกาย เป็นไปได้ที่วิตามินซีจะสลายตัวไปก่อนที่ร่างกายจะนำไปใช้ได้ทัน ประกอบกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ การรับประทานผักผลไม้ที่ไม่หลากหลาย การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือในภาวะเครียด ก็ส่งผลให้ร่างกายขาดวิตามินซีได้เช่นกัน

ดังนั้นเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสามารถอยู่ในร่างกายได้นานขึ้น และรักษาระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง มีประสิทธิภาพในการรับมือกับเชื้อโรคต่างๆ ทั้งในช่วงที่ไวรัส COVID-19 ยังระบาดอยู่ และพร้อมเผชิญกับเชื้อโรคอื่นๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอในอนาคตนั้น วิตามินซีจึงเป็นสารสำคัญหลักที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เพราะมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวสามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซีได้ตามความต้องการของร่างกาย แนะนำควรเลือกวิตามินซีที่มีปริมาณสูง 1,000-2,000 มิลลิกรัม และมีไบโอฟลาโวนอยด์สูง ซึ่งเป็นตัวช่วยให้วิตามินซีอยู่ในร่างกายได้นานขึ้นและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

เวลานี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าเราทำจนเป็นนิสัยว่าเรื่องการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงต่อเนื่อง ให้เตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ก็จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรงไม่ป่วยง่าย ช่วยเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกๆ ด้าน

โดยเริ่มต้นดูแลสุขภาพเพื่อให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงเต็มประสิทธิภาพ ด้วยวิตามินซีปริมาณสูง ที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ ช่วยให้วิตามินซีอยู่ในร่างกายได้นานขึ้นและดูดซึมวิตามินซีได้ดียิ่งขึ้น ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร

Amwish live chat
Uploading...